คำศัพท์ควรรู้ก่อนเริ่มทำ SEO

มือใหม่อยากเริ่มทำ SEO? ต้องมารู้จักกับคำศัพท์ 12 ตัวนี้ก่อน

การทำเว็บให้ติดอันดับหน้าแรก Google นั้น น่าจะเป็นเป้าหมายของคนที่ทำเว็บไซต์ทุกคน ซึ่งการที่จะติดหน้าแรก Google ได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ดังนั้นทางทีมการตลาดของธุรกิจต้องศึกษาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ในบทความนี้ก่อนที่จะเรียนรู้เทคนิคการทำ SEO ในด้านอื่น ๆ เพื่อเตรียมตัวไว้ก่อน

การทำ SEO อาจดูไม่เข้าใจง่ายเหมือนการทำ Social Media แต่เมื่อผลลัพธ์จากการทำ SEO ออกผลแล้ว มันจะส่งผู้เข้าชมมาให้คุณเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนหรือลงแรงเพิ่มมากเท่าไร ดังนั้นเรามารู้จักคำศัพท์ SEO 12 ข้อที่มือใหม่ทุกคนควรรู้จักกันเลยครับ!

1. SEO

SEO เป็นคำย่อของคำว่า Search Engine Optimization

Search Engine คือระบบในการค้นหาข้อมูล ส่วน Optimization คือการปรับแต่งให้เหมาะสมที่สุด เมื่อทั้งสององค์ประกอบนี้รวมกัน จึงเป็นการทำให้ผลลัพธ์ที่มาจากระบบการค้นหาข้อมูลนั้นออกมาเหมาะสมที่สุด

อธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายๆ การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ บน Search Engine เพื่อให้คนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ (สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายของ SEO ได้ที่ https://anissa.ai/2023/06/26/what-is-seo-and-why-important-for-marketing/ )

2. Keyword

Keyword คือ คำสำคัญหรือกลุ่มคำที่คุณต้องการจะเน้นในการค้นหาบน Search Engine ที่ผู้ใช้งานใช้เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ ซึ่งมีความง่ายและสะดวก เพียงแค่พิมพ์คำลงไป แต่สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจหรือเป็นเจ้าของเว็บไซต์ จะต้องรู้วิธีการทำให้เว็บของตนถูกค้นหา เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้งานเข้ามายังเว็บของเรา

Keyword มีความสำคัญยังไง?

การทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์นั้นคุณทำคอนเทนต์เพื่อให้ทั้งคน และอัลกอริทึ่มของ Search Engine อ่าน ถ้าหัวข้อเกี่ยวกับคอนเทนต์ที่ทำนั้นไม่น่าสนใจพอให้ที่คนค้นหา ก็จะไม่พบเนื้อหาผ่าน Search Engine อยู่ดี ขั้นตอนการเลือก Keyword นั้นจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก

3. On-page SEO / Off-page SEO

On-page และ Off-page คือคำศัพท์ที่เราเคยได้ยินเมื่อเริ่มทำ SEO โดย On-page นั้นคือเราเขียนบทความแล้วลงในเว็บไซต์ของเราเอง ส่วน Off-page คือเราเขียนบทความแล้วนำไปลงในเว็บไซต์อื่น ๆ แล้วเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งคุณอาจจะเคยเรียก On-page ว่า Blog และเคยเรียก Off-page ว่า Backlink แต่ทั้งหมดนี้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน 

เมื่อเราทำ On-page เราก็เขียนบทความที่สร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือสินค้าของเรา โดยการใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้ความสำคัญกับโครงสร้างของเว็บไซต์ รวมไปถึงการใช้รูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจเนื้อหาที่เราต้องการสื่อสาร 

ส่วน Off-page เราจะเขียนบทความแล้วนำไปลงในเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อให้คนอื่น ๆ มาเข้าเว็บไซต์ของเรา โดยการใช้ Backlink ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของเว็บไซต์ของเราให้มากขึ้น 

ในกระบวนการ SEO นี้ เราจะใช้ On-page และ Off-page พร้อมกัน เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าสนใจและทำให้เกิดผลในการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google นั่นเอง

4. Heading Tag

Heading Tag เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ ทำให้เราสามารถระบุได้ว่าส่วนใดเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อรอง และหัวข้อที่ย่อยลงมา 

Heading Tag ถูกแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ที่เรียกว่า H1 – H6 

โดย H1 จะใช้สำหรับหัวข้อหลักในหน้านั้น ๆ หรือหากเป็นบทความ ก็จะใช้เพื่อกำหนดชื่อบทความ (Title) 

ส่วน H2 จะใช้ในหัวข้อรอง หรือหัวข้อที่ใหญ่ ๆ ภายในบทความนั้น ๆ 

ส่วน H3 – H6 ก็จะใช้สำหรับหัวข้อที่มีความสำคัญลดลงไป

อย่างไรก็ตาม, การใช้ Heading Tag อย่างถูกต้องและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยให้เว็บไซต์ของเราดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อเราเขียนหัวข้อหรือบทความ ควรใช้ Heading Tag ให้เหมาะสมและตรงตามหัวข้อที่เราต้องการเน้น 

5. Meta Description

Meta Description คือ Meta Tag ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้ในการเขียนอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ว่า เกี่ยวข้องกับอะไร ข้อความที่สรุปใจความของเนื้อหาในหน้านั้น ๆ ของเว็บไซต์แบบสั้น ๆ ซึ่งจะไม่ได้แสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ตรง ๆ แต่จะแสดงผลในระบบหลังบ้าน เพื่อให้ Algorithm ของ Search Engine ได้อ่านและประมวลผล ด้วยเหตุนี้ ใน Meta Description จึงควรมีทั้ง Main Keyword และ Related Keyword รวมอยู่ด้วย 

การเขียน Meta Description ส่วนมากนั้นจะจำกัดจำนวนตัวอักษรอยู่ที่ราว ๆ 70 – 155 ตัวอักษร หรือประมาณ 960 px ซึ่งคุณควรที่จะใส่คำ keyword ลงไปและเนื้อหาควรบอกรายละเอียดของเนื้อหา เพราะจะเป็นเหมือนกับการสร้าง First Impression ให้กับผู้ใช้งานนั่นเอง 

6. SERP 

SERP ย่อมาจาก Search Engine Result Page หรือหน้าที่แสดงผลใน Search Engine เวลาคนใส่ Keyword เพื่อทำการค้นหานั่นเอง ประกอบไปด้วยช่องสำหรับพิมพ์คำค้นหา, Title, Description, Snippets ในหน้า SERP จะแสดงทั้งผลการค้นหาแบบ Organic (เว็บไซต์ที่ทำ SEO) และผลการค้นหาแบบ Paid- Ads (เว็บไซต์ที่ซื้อโฆษณากับ Search Engine โดยตรง)

หน้าที่ของ SERPs นั้นคือการพยายามให้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาแสดงออกมาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นลองนำ Keyword ที่อยู่ในเว็บไซต์ของคุณเข้าไปในใส่ Search Engine ดู หากเว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏ SERPs อยู่ในหน้าแรกๆ นั่นคือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณยังไม่ได้ถูกแสดงให้กับผู้ค้นหาหรือ Search Engine อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเองครับ 

7. Alternative Text (Alt Text) 

Alternative Text คือ ชื่อหรือคำอธิบายสั้น ๆ ที่ใช้ตั้งชื่อรูปภาพต่าง ๆ ที่อัปโหลดไว้ในเว็บไซต์ของคุณ โดยจะไม่ได้แสดงในหน้าแสดงผลแต่จะไปแสดงในส่วนของ HTML Code ของเว็บไซต์นั่นเอง โดยทั่วไปจะนิยมตั้งผสมกับ Keyword ที่ต้องการจะเน้นในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำ SEO ด้วย

8. Search Volume

Search Volume จะเป็นคำศัพท์ SEO ที่คุณจะมีโอกาสได้ยินบ่อย ๆ หลังจากนี้ ซึ่งหมายถึง ปริมาณการค้นหาบน Search Engine ของ Keyword นั้น ๆ ที่บ่งบอกถึงจำนวนคำหลักหรือคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาในแต่ละเดือนว่ามีกี่ครั้ง ซึ่งจะเป็นตัวแปรในการกำหนดความยาก-ง่ายของการทำ SEO ด้วย 

9. Bounce Rate 

Bounce Rate คือ อัตราของผู้ชมที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วกดออกอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการกดปุ่ม Action หรือปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ในเว็บไซต์ หรือกดไปหน้าอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว สาเหตุอาจเกิดจากคอนเทนต์บนเว็บไซต์ไม่น่าสนใจมากพอ ไม่สวยงาม ไปจนถึงเว็บไซต์ดาวน์โหลดช้า ดังนั้น การมี Bounce Rate จำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำ SEO เลย 

10. External Links และ Internal Links

External Links คือ การทำลิงก์จากหน้าเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อไปยังหน้าเว็บไซต์อื่น ซึ่งคุณจะต้องเลือกเว็บไซต์ที่จะลิงก์ไปถึงอย่างพิถีพิถัน และเว็บไซต์เหล่านั้นจะต้องมีคุณภาพตรงตามมาตราฐานของเครื่องมือค้นหา นอกจากนี้เว็บไซต์ที่คุณจะลิงก์ไปยังต้องมีความเกี่ยวข้องกันของเนื้อหา

ส่วน Internal Links ก็คือการทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของตัวเอง อย่างไรก็ดี แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการทำ Internal Links มากกว่า เพราะถือว่าเป็นการเพิ่มคะแนนให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง 

บทความที่มีคุณภาพ ควรมีทั้ง External Links และ Internal Links เป็นองค์ประกอบอย่างสมดุลซึ่งจะช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ที่มีผลต่อระบบของเครื่องมือค้นหาในการจัดอันดับ

11. Website Traffic

Website Traffic หรือ จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ คือตัวชี้วัดในการทำเว็บไซต์ของคุณว่าได้คุณภาพและมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มากขนาดไหน  ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการทำ SEO ได้เป็นอย่างดี เพราะหากกลยุทธ์การทำ SEO ของคุณได้ผล ก็จะทำให้ Website Traffic สูงขึ้นตามไปด้วย

12. Backlink

Backlink คือลิงก์ที่เว็บไซต์อื่นๆ ส่งมาหาคุณ ซึ่ง Backlink นั้นถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการทำ Off-page SEO เป็นสิ่งที่บอก Google ให้รู้ว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เราได้รับการยอมรับ และมีการทำเป็น Referrence กลับมาให้จากเว็บไซต์อื่นๆ ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร ก็มีโอกาสที่ Google ก็จะให้คะแนนกับหน้าๆ นั้นมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 

Backlinks จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้และใส่ใจให้มาก ๆ เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ทั้งหมดของการทำ SEO แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยโปรโมตเว็บไซต์ของเราอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็อย่าลืมว่าเว็บไซต์ของเราต้องมีคอนเทนต์ที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะคุณภาพของเนื้อหาก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่ Google ใช้ประเมินในการจัดอันดับ SEO ด้วยเช่นกัน

สรุป

และทั้งหมดนี้ ก็คือ 12 คำศัพท์ที่มือใหม่ในการทำ SEO ควรศึกษาไว้ เพื่อเรียนรู้การทำ SEO ให้เชี่ยวชาญมากขึ้นต่อไป ตอนนี้คุณอาจจะพอมีความเข้าใจเรื่องของ SEO มากขึ้นแล้วครับ แต่จริงๆ มันยังมีคำศัพท์อีกหลายตัว และอีกหลายกลยุทธ์ที่จำเป็นต้องรู้อีกเยอะ อย่างไรก็ดี คุณควรให้ความสำคัญกับการฝึกใช้เครื่องมือที่เกี่ยวกับ SEO ควบคู่กันไปด้วย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

© 2023 Anissa. All rights reserved.

Anissa AI is issued by Luca Block Co., Ltd.